รีวิว Glass บทสรุปคนเหนือมนุษย์ พร้อมสปอย 2 ภาคแรก

  Feb 1, 2019   eyeicon  2790 view   QueenA

 

บอกเลยว่า แค่เห็นโปสเตอร์หนังเรื่อง Glass ก็ไม่ได้อยากดูอะไรมากมาย เพียงแต่ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้ อยู่ที่จักรวาลของหนัง ที่ถูกสร้างมาโดยที่คนดู รวมถึงค่ายหนังเอง ก็ไม่รู้มาก่อนว่ามันคือหนังภาคต่อ กินเวลามากว่าสิบปี นับจากเรื่องแรกคือ Unbreakable (2000) ตามมาด้วย Split (2016) และมาส่งท้ายบทสรุปใน Glass ที่เข้าฉายเมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ด้วยความน่าสนใจนี้ ผู้เขียนจึงไล่หาหนังเก่าๆ มาดูเพื่อที่จะดู Glass ได้อย่างเข้าใจ

 

ซึ่งถ้าใครไม่เคยดู Unbreakable และ Split มาก่อน จะดูเรื่อง Glass ไม่รู้เรื่องอย่างแน่นอน จึงขอแนะนำว่าถ้าใครคิดจะไปดู ต้องทำการบ้านมาก่อนนะคะ ไม่งั้นอาจสรุปไปก่อนว่า..

“ Glass ไม่สนุก ไม่รู้เรื่อง ไม่เห็นมีแอ็คชั่นอะไรเท่าไรเลย ไหนบอกเป็นหนังยอดมนุษย์ทำไมเป็นแบบนี้”

หนังยอดมนุษย์ในจักวาลของผู้กำกับ M. Night Shyamalan ไม่เหมือนกับจักรวาลหนังฮีโร่ยอดมนุษย์อย่าง Marvel หรือ DC ถ้าหวังความบันเทิงครบสูตรแบบนั้น จักรวาลนี้ไม่เหมาะกับคุณแน่นอน แต่ถ้าต้องการความแปลกใหม่ ดูไปคิดไป เชิงจิตวิทยา ซับซ้อนนิดๆ ละก็ Unbreakable, Split และ Glass  ทั้ง 3 เรื่องนี้จะตอบโจทย์ได้อย่างดี แม้การดำเนินเรื่องจะเนิบ นวยนาด ช้า เงียบ ไปบ้างก็ตาม

 

 

 

เอาล่ะ ถ้าไม่ว่างดู 2 เรื่องแรก เดี๋ยวเราจะสรุปให้อ่านกันแบบรวบรัดๆ สปอยเนื้อหากันโต้งๆ ไม่อ้อมค้อม แต่ถ้าใครมีเวลาดู ก็แนะนำให้ดูเถอะ อ่านสปอยมันไม่ละเอียดเท่าดูเองแน่นอน หนังมีรายละเอียด มีมุมภาพที่สวยเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วเก็บรายละเอียดที่ซ่อนไว้ของหนังแล้วจะอินไปกับมัน

เตือนไว้ว่าใครไม่ชอบสปอย ให้ข้ามตรงนี้ไปเลยค่า

 

สปอย Unbreakable (2000)

เปิดเรื่องที่บรูซ วิลลิส ผู้รับบทเป็น “เดวิด ดันน์” อยู่บนรถไฟขบวนหนึ่งที่ต่อมาเกิดอุบัติเหตุตกราง เดวิดฟื้นมาพบว่าเขาคือผู้รอดชีวิตคนเดียว แถมยังไร้รอยขีดข่วนใดๆ

ตัวหนังตัดสลับกับเรื่องราวของ “อีไลจา” ผู้เกิดมาอาภัพเป็นโรคกระดูกพรุน ล้มหรือกระแทกเพียงนิดก็ทำให้เขากระดูกหักได้ง่าย อีไลจา โตมาอย่างหวาดกลัว ไม่กล้าออกไปข้างนอก จนกระทั่งแม่ของเขาซื้อคอมมิคบุ๊คฮีโร่ให้เขาอ่าน ทำให้เขาชื่นชอบการ์ตูนฮีโร่มาก เขาได้รับฉายาว่า Mr.Glass

อีไลจา พยายามเข้าหาเดวิด เพื่อบอกว่าเขาคือหนึ่งในคนเหนือมนุษย์ เขาคือฮีโร่ในเหล่ามนุษย์เดินดิน แต่เดวิดไม่เชื่อ เขาพยายามบอกอีไลจาว่าเขาเองก็เคยเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการจมน้ำในวัยเด็ก แต่อีไลจาก็ยกตัวอย่างว่าฮีโร่ทุกตัวมีจุดอ่อน กระทั่งเดวิดก็เรื่มไม่แน่ใจในตัวเอง เพราะเวลาเขาสัมผัสตัวใคร เขาจะเห็นภาพและรู้สึกถึงเรื่องชั่วร้ายที่คนๆ นั้นทำ เดวิดนึกย้อนไปว่าเขาเองก็เคยผ่านอุบัติเหตุรถคว่ำ แต่ร่างกายไม่เป็นอะไรเลย เขาจึงขอคำแนะนำจากอีไลจา อีไลจาจึงให้เขาไปอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ อย่างสถานีรถไฟ เดวิดสวมชุดกันฝนเพราะเขามีจุดอ่อนคือห้ามตัวเปียกพลังของเขาจะอ่อนลง เดวิดบังเอิญชนกับชายคนหนึ่งซึ่งเป็นฆาตกร ทำให้เขาตามไปยังที่เกิดเหตุและช่วยชีวิตเด็ก 2 คนได้ เช้าวันต่อมาเรื่องราวของเขาเป็นข่าว เขาเดินทางไปขอบคุณอีไลจา ที่ทำให้เขาค้นพบความสามารถของตัวเอง

แต่ทันทีที่เขาจับมือกับอีไลจา เขาเห็นภาพอุบัติเหตุร้ายแรงทั้งหมด 3 ครั้ง ไฟไหม้, เครื่องบินตก รวมถึงอุบัติเหตุรถไฟตกราง สรุปคือ อีไลจาคือผู้อยู่เบื้องหลัง เพราะต้องการตามหาคนอย่างเดวิด เพราะเชื่อว่า เขาเป็นคนอ่อนแอ ก็ต้องมีคนที่ตรงข้ามกับเขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด จึงลงมีก่อเหตุทั้ง 3  ตอนจบเดวิดนำตำรวจเข้าจับอีไลจา

 

 

สปอย Split (2016)

เรื่องนี้ไม่รู้จะเริ่มต้นสปอยจากตรงไหน เพราะเป็นหนังเกี่ยวกับชายที่มี 23 บุคลิก แถมยังมีอีกบุคลิกซ่อนอยู่ รวมทั้งหมดเป็น 24 บุคคลิก เอาแบบสั้นๆ ง่ายๆ คือเป็นเรื่องราวของ เควิน ที่ถูกแม่ทำร้ายร่างกายในวัยเด็ก จนเขาต้องสร้างตัวตนใหม่ให้ตัวเองเพื่อปกป้องตัวเองจากแม่ จึงทำให้เขาเป็นคนหลายบุคลิก ซึ่งก็แตกต่างกันออกไป แต่จะโดดเด่นอยู่ไม่กี่ตัว เช่น เดนนิส ชายรักสะอาด, เฮดวิก เด็กชาย 9 ขวบ, แพทริเซีย ผู้เคร่งศาสนา เป็นต้น และยังมีบุคคลิกที่ 24 นั่นคือ Beast หรืออสูร เพราะเควินทำงานในสวนสัตว์จึงเรียนรู้พฤติกรรมสัตว์ ทำให้บุคลิกนี้ จะมีร่างกายกำยำ หนังเหนียว ยิงไม่เข้า พละกำลังเยอะ ปีนป่ายกำแพงได้ บุคลิกต่างๆ ของเควิน ลักพาตัวเด็กสาวมา 3 คน หนึ่งในนั้นมีเคซี่ นางเอกคนสวยของเรา หนังสลับกับเรื่องราวในอดีตของเคซี่ ที่เคยถูกทำร้ายร่างกายและถูกคุกคามทางเพศจากลุงแท้ๆ ระหว่างที่เธอถูกจับนั้น เธอเรียนรู้ถึงบุคคลิกต่างๆ ของเควิน และจุดประสงค์ในการลักพาตัวครั้งนี้ คือจับตัวมาให้อสูรบุคลิกที่ 24 กินเป็นอาหาร เพื่อนๆ เคซี่ถูกกิน แต่เคซี่ถูกปล่อยตัวไป เพราะอสูรเห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของเคซี เขาจึงปล่อยเธอไป

ในตอนท้ายของหนังเรื่องนี้ ก็มีเดวิด ดันน์โผล่มาพูดถึง Mr.Glass ก็เป็นการเฉลยว่า Split คือหนังจักรวาลเดียวกันกับ Unbreakable

 

 

 

สังเกตดูอีกทีจะรู้ว่าโปสเตอร์นั้นเป็นรอยแก้วแตกทั้ง 3 เรื่อง cr.IMDB

 

มาถึงเรื่อง Glass (2019) เป็นเรื่องราวที่ทั้ง 3 คน เดวิด ดันน์, เควิน และมิสเตอร์กลาส หรืออีไลจา ถูกจับมารักษาอาการที่เชื่อว่าตัวเองมีพลังพิเศษเหนือมนุษย์ ซึ่งหนังยังไม่ออกจากโรง ไปดูก็ได้นะ เราคิดว่าหนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาดีอยู่ ซึ่งรีวิวด้านล่าง ผู้เขียนอาจเรียก Mr.Glass ว่า อีไรจา หรือ Glass เฉยๆ ก็อย่าเพิ่งสับสนกันน้า

 

เรื่องดีๆ ที่ขอชมคือ ภาพสวยมาก มีการใช้สี ใช้แสงเป็นลูกเล่น และมุมกล้องที่เอียงบ้าง กลับหัวบ้าง มีมุมมองแทนสายตาบุคคลที่ 1 ในส่วนของการเล่นสีก็มีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อ ดูจากภาพปกที่เรานำมาให้ดูคือตัวละครมีสีประจำตัวอย่างอย่างชัดเจน ซึ่งมุมกล้องและลูกเล่นทำนองนี้ มีให้เห็นมาตั้งแต่ Unbreakable คือมันทำให้เราโฟกัสและจดจำรายละเอียดของหนังได้ดีขึ้น  

หลายๆ ฉากสื่อความหมายได้ดีมาก อย่างเวลามุมกล้องแทนมุมมองภาพของอีไลจา บางตอนจะเป็นมุมกล้องเอียง หรือกลับหัว เรารู้สึกว่ามันสื่อถึงการมองโลกที่บิดเบี้ยว ผิดเพี๊ยนของอีไลจา

และอีกเรื่องที่ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจว่าผู้กำกับต้องการสื่อแบบนี้รึเปล่า แต่ผู้เขียนก็ตีความออกมาตามนี้ คือสถานที่ของฉากจบ จะคล้ายๆ กับฉากของ Unbreakable ตอนที่เดวิด ดันน์ยอมรับในความสามารถของตัวเอง จึงไปที่สถานีรถไฟ เพื่อใช้พลังช่วยเหลือผู้คน ส่วนในเรื่อง Glass ฉากตอนท้ายก็ให้อารมณ์สถานที่คล้ายๆ กัน คือเป็นสถานที่คนพลุกพล่าน ผู้เขียนแอบตีความว่า เป็นการปิดเรื่องราวตรงจุดเริ่มต้น ที่ๆ เดวิด ดันน์ยอมรับพลังตัวเองนั่นเองค่ะ

เป็นจักรวาลฮีโร่ที่สมจริงที่สุด มีคนเคยกล่าวชม Unbreakable ว่าเป็นหนังฮีโร่ที่เรียลมาก คือไม่ใช่ว่าเส้นทางฮีโร่จะสดใสตลอด มันมีเรื่องราวอื่นๆ อีก เช่น ครอบครัว คนรักและลูก มีจุดอ่อน จึงเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ชอบหนังในจักรวาลนี้

สิ่งที่ชอบอีกอย่างคือ นักแสดงหน้าเดิมกลับมารับบทเดิม คือจะหาหนังที่ภาคต่อไม่เปลี่ยนนักแสดงเลยนี่น้อยอยู่นะ แม้แต่ลูกของเดวิด ดันน์ ยังใช้นักแสดงคนเดิมเลย รวมถึงบทเคซี และแม่ของอีไลจาก็มา

ที่พีคสุด ก็เป็นโปสเตอร์ที่เป็นรอยกระจกแตกทั้ง 3 เรื่อง ถือเป็นรายละเอียดที่ถูกเก็บเป็นความลับไว้นานกว่า10 ปีเลยทีเดียว

 

 

 

ในเรื่องแย่ๆ ก็มีบ้าง ทำให้กระแสฝั่งเมืองนอกนั้นวิจารณ์ออกมาแย่มาก แต่สำหรับเรามองว่ามันเป็นจุดเล็กๆ ของหนัง คือบทแอบสะเปะสะปะบ้างเล็กน้อย มีความไม่สมเหตุสมผลอยู่ แถมตอนจบก็รู้สึกค้างคา ไม่เคลียร์ แต่เราให้อภัยได้ หรือถ้าเทียบความเงียบ ความเนือยแล้ว เรื่อง Glass ดำเนินเรื่องเนิบเนือยแบบน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับ 2 เรื่องก่อนหน้า หรือเพราะความที่หนังไม่ค่อยเนิบ ทำให้แฟนๆ รู้สึกไม่พอใจกันนะ  

ในส่วนของแฟนๆ ชาวไทย หลายเสียงก็บอกชอบ และไม่ชอบแตกออกไป ซึ่งบางคนก็บอกว่ายังไม่สุด ยังขาดเสน่ห์สู้หนังเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ได้ ส่วนตัวก็แอบเห็นด้วยนะ ว่าเสน่ห์แบบเดิมๆ มันหายไปจริงๆ แต่ขอสรุปเลยว่า ชอบหนังเรื่องนี้ค่ะ ให้อภัย

 

 

ในเรื่องของการกระจายบทนั้น ขึ้นชื่อเรื่องว่า Glass ก็ต้องเทบทไปให้ Mr.Glass  รองลงมาคือ เควิน และรองจากนั้นคือเดวิด ดันน์ แต่ในช่วงแรก หนังเปิดมาคล้ายๆ จากเรียงตาม Timeline คือ ด้วยเดวิด โผล่มาก่อน ตามมาด้วยเควิน ปิดด้วย Mr.Glass เพื่อบรรจบเรื่องราวของทั้ง 3 คนอีกต่อหนึ่ง แต่จะว่าไปรู้สึกว่าเดวิด ดันน์นั้นมีบทน้อยเหลือเกินในเรื่องนี้ เควินยังมีบทเยอะกว่าอีก และต้องขอชมเจมส์ แมคอวอย เลยว่าแสดงดีมาก แอบรู้สึกว่าเล่นดีกว่าหนังเดี่ยว Split อีก

 

หนังบอกกับคนดูว่า เดวิด ดันน์ คือฮีโร่ผู้แข็งแกร่ง เควิน คือวายร้าย และ Mr.Glass หรืออีไลจา คือชายที่ฉลาดมีไหวพริบดี ตอนแรกเรารู้สึกค้านกับคำว่าฉลาดมาก เพราะเหมือนหนังไม่ได้ปูทางมาบอกว่า Glass ฉลาดเลย จนมาเฉลยในหนังเรื่องนี้ ซึ่งมันก็รู้สึกเซอร์ไพรส์คนดูอยู่เหมือนกัน ทั้งวีรกรรมที่ทำตอนอยู่โรงพยาบาล การวางแผนต่างๆ คือตอนจบแอบอึ้งไปพักนึงเลย

 

 

 

ตัวละครของจักรวาลนี้มีเสน่ห์และมีเรื่องราวที่รู้สึกประทับใจ

 

 

อีไลจา หรือ Mr.Glass

ชายผู้อยู่ตรงข้ามกับความแข็งแกร่ง เขาอ่อนแอทางกาย สร้างปมในจิตใจ สังเกตได้ว่าเขามักจะพูดคำว่า “They call me Mr.Glass” ค่อนข้างบ่อย เหมือนกับว่าเขาไม่ก้าวข้ามมัน แต่กลับยอมรับมัน ทำให้เกิดความเชื่อที่ส่งผลกระทบต่อทุกคน เขาเชื่อว่าถ้ามีคนที่อ่อนแอที่สุดแบบเขา ก็ต้องมีคนที่แข็งแกร่งที่สุด เพื่อชดเชยความรู้สึกด้อยของเขา เขาจึงต้องสร้างสถานการณ์ที่ส่งผลให้มีคนตาย เพื่อตามหาคนแข็งแกร่งแบบเดวิด ดันน์

เราว่าเขาออกแนวโรคจิต ซึ่งจริงๆ เป็นคนที่โน้มน้าวใจคนเก่งมาก ทั้งเควิน และเดวิด ต่างก็เชื่อในความสามารถตัวเองเพราะฟังอีไลจาพูดปลุกใจให้เขาเชื่อนี่แหละ เรียกได้ว่าเป็นคนพูดชักจูงได้ดี ถ้าทำอะไรที่สร้างสรรค์กว่านี้ ใช้ความฉลาดให้เป็นประโยชน์ อาจจะเป็นตัวละครที่เราชอบมากกว่านี้

 

 

เควิน

ตัวละครที่หลายบุคลิก เกิดจากฝันร้ายในอดีต ทำให้สร้างบุคลิกมาหลายๆ ตัวตนเพื่อปกป้องคุ้มกันตัวเอง หนังต้องการจะสื่อว่า ถ้าเราเชื่อในพลังและความสามารถของตัวเองเราจะเป็นอะไรก็ได้ ซึ่งในบุคลิกอสูร เควินเชื่อว่าอสูรนี้ต้องแข็งแกร่ง ปีนป่ายได้ ดุร้าย ยิงไม่เข้า แต่ตัวเควินจริงๆ กลับไม่เคยเชื่อมั่นในตัวเอง จนต้องยอมให้บุคลิกอื่นๆ ควบคุมร่าง เพราะความเจ็บปวดในวัยเด็กมันบีบคั้นให้เขาคิดว่าตัวเองไร้ค่า จนต้องสร้างบุคลิกอื่นๆ ออกมาแทน จิตใจเควินบอบช้ำมากจนไม่อยากมีตัวตนอยู่บนโลกมันแย่ก็ตรงนี้แหละ

 

 

เดวิด ดันน์

ชายผู้แข็งแกร่งนี้ เป็นตัวแทนของการเป็นคนดีเกินไป ใช่ว่าทำดีแล้วจะมีใครเห็นค่า ตอกย้ำทฤษฎีว่า คนดีไม่มีที่อยู่ หรืออยู่ผิดที่ผิดทางก็ซวยได้เหมือนกัน สะท้อนสังคมทำให้เราไม่กล้าที่จะทำความดี เพราะกลัวจะเป็นการทำร้ายตัวเองมากกว่า

 

ตัวละครที่เรารู้สึกไม่แน่ใจว่าเขาดีหรือเลว ก็มี Glass และ เควินนี่แหละ อย่างเดวิด ดันน์ คือฮีโร่ ยังไงก็เป็นคนดีอยู่แล้ว เรารักและเห็นใจตัวละครตัวนี้มาตั้งแต่ภาคแรก แต่เควินกับ Glass นี่มันยังก่ำกึ่งๆ เพราะเหมือนสิ่งที่เขาทำมันเลวมันผิด อย่างเควิน คือคนป่วยที่ใจเป็นแผล มันสามารถรักษาได้ ในหนังมีฉากที่เควินเป็นคนปกติ เขาก็เป็นคนดีอยู่ เพียงแค่ใจป่วย ตอนร้ายก็เกลียด แต่ตอนดีก็ชอบ งงกับตัวเองเหมือนกัน

และ Glass คือชายผู้อ่อนแอที่สุดแต่ฉลาดมีไหวพริบ วางแผนแยบยลจนคนดูเดาทางแทบไม่ออก เหตุผลที่ทำมันก็ผิด และมันก็ถูก คือมันก่ำกึ่งระหว่างดีกับเลว แต่น่าจะเลวเยอะกว่า อารมณ์ประมาณหวังดี แต่แสดงออกมาไม่ดี ความคิดบิดเบี๊ยว จนมองผิดเป็นถูกได้

พอดูไปดูมากลายเป็นเราหลงรักตัวละครตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ แถมบทยังส่งให้เราเอาใจช่วยทั้ง 3 คนอีก

 

ตอนจบที่เซอร์ไพรส์

ในหนังเฉลยความฉลาดและความเก่งของ Mr.Glass ให้เรารู้แบบผิวเผิน เราจะมารู้สึกชอบในความฉลาดของ Glass ในตอนจบ แบบที่สะใจมากๆ คือตอนแรกหนังหลอกให้เรารู้สึกอย่างหนึ่ง แต่พอเฉลยปมตอนจบอีกที คือเฮ้ย อีไลจา มันฉลาดจริงนะ แหมือนกราฟที่กำลังด่ำดิ่งลง แต่พอเฉลยปุ๊บ กราฟอารมณ์ก็พุ่งขึ้นเป็นจรวดเลย 

แต่รวมๆ คือ ผู้เขียนมีทั้งความรู้สึกชอบตอนจบ และไม่ชอบตอนจบในเวลาเดียวกัน จะรู้สึกขัดแย้งกับวิธีการของอีไลจาแต่ก็เข้าใจจุดประสงค์และความมุ่งหวัง ไว้ไปดูกันแล้วจะเข้าใจว่าทำไมผู้เขียนรุ้สึกแบบนี้

แต่อย่างที่กล่าวไปด้านบน ก็คือเราไม่แน่ใจว่าจะมีภาคต่อหรือไม่ เหมือนหนังจะปูหนังให้สร้างภาคต่อได้ จากหลายๆ ประโยคที่ตัวละครพูด ปริศนาที่ยังไม่คลายปมก็ยังมี ก็ต้องไปตามลุ้นกันต่อว่าจะมีภาคต่อมั้ย ขนาดภาคแรก กับภาคล่าสุดยังห่างกัน 19 ปีเลย

 

 

สรุปว่า หนังเรื่องนี้ ควรดูด้วยตัวเอง แล้วเก็บรายละเอียดของหนังให้ดี จะรู้สึกว่าหนังมีอะไรมากกว่าความบันเทิง

 

QueenA

QueenA


QueenA

QueenA

ชอบดูหนัง เล่นเกม ทำขนม แต่งหน้า รวมอยู่ในร่างนี้ เอ๋อนิดๆ ซุ่มซ่ามหน่อยๆ พอให้มีรอยยิ้ม แต่ไม่ไร้สมอง
ชอบเขียนแทนพูด (แต่เดี๋ยวนี้ใช้พิมพ์เอา) พร้อมรังสรรค์เรื่องราวดีๆ มาให้สาวๆ อัพเดทตัวเองให้สวย เก่ง และมั่นใจแบบเป็นตัวเอง ไปพร้อมกัน